จากคนติดหวาน สู่เทคนิคพิชิตน้ำตาล: หมอเจษฎ์เผยทางลัดสู่สุขภาพดี

เปิด 5 กลยุทธ์ "หมอเจษฎ์" พิชิตความหวานใน 1 เดือน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา หรือที่รู้จักกันในนาม "หมอเจษฎ์" ได้แบ่งปันแนวทาง 5 ประการผ่านเฟซบุ๊กเพจ "หมอเจษฎ์" เพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถลดการบริโภคความหวานได้อย่างไม่ทรมาน พร้อมเล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากผู้ที่เคยมีน้ำหนัก 110 กิโลกรัม และติดความหวานอย่างหนัก เช่น ชานมที่ต้องหวาน 100% และกาแฟคาราเมลเต็มสูตร
หมอเจษฎ์ชี้ว่า การเลิกพฤติกรรมการบริโภคหวานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากมีความเข้าใจในหลักการและนำเทคนิคที่เหมาะสมมาปรับใช้ นิสัยการกินสามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ด้วยวิธีเหล่านี้
1. ปรับลิ้นและจิตใจให้คุ้นชินกับรสชาติที่ปราศจากความหวาน
หลายคนอาจไม่ทราบว่า "ลิ้น" สามารถปรับเปลี่ยนการรับรู้รสหวานได้ หากเราค่อย ๆ ลดปริมาณความหวานลง เช่น การลดน้ำตาลจาก 3 ช้อนเหลือ 2.5, 2, 1.5, จนถึง 1 ช้อน ซึ่งจะทำให้ลิ้นค่อย ๆ รีเซ็ตตัวเองและคุ้นเคยกับความหวานที่น้อยลง
หมอเจษฎ์แนะนำว่า ไม่ควรพึ่งพาน้ำตาลเทียม เนื่องจากแม้จะไม่มีแคลอรี แต่ยังคงหลอกลิ้นให้รู้สึกหวาน ซึ่งอาจนำไปสู่การกลับมาติดหวานอีกครั้ง
หากต้องการใช้วิธี "หักดิบ" ก็สามารถทำได้ แต่ต้องอาศัยความแข็งแกร่งของจิตใจและความอดทนในช่วงแรก เพราะอาจมีอาการหงุดหงิดคล้ายอาการลงแดงเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะเริ่มปรากฏภายใน 3-4 สัปดาห์
2. ไม่ควรรอจนกระทั่ง "หิวจัด" ก่อนรับประทานอาหาร
การปล่อยให้ตนเองหิวมากเกินไปจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน เกรลิน (Ghrelin) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้สมองเรียกร้องของหวาน
เทคนิคเพื่อลดความอยากหวานเมื่อรู้สึกหิว:
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
- พกของว่างที่มีโปรตีน เช่น ถั่วต้ม ไข่ต้ม หรือโปรตีนเชค
- ก่อนมื้ออาหาร หากเริ่มรู้สึกหิว ลองดื่มน้ำหนึ่งแก้ว หรือเคี้ยวผักสด เช่น แตงกวา แครอท
- เน้นอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป เช่น ข้าวกล้อง อกไก่ ไข่ลวก
3. เปลี่ยน "รางวัลของสมอง" ให้ไม่ใช่ของหวาน
การบริโภคของหวานกระตุ้นให้สมองหลั่ง โดพามีน (Dopamine) ซึ่งทำให้รู้สึกดี และอาจนำไปสู่พฤติกรรมการติดของหวานโดยไม่รู้ตัว
หมอเจษฎ์แนะนำให้หากิจกรรมอื่นมาทดแทน เช่น การฟังเพลง การอ่านหนังสือ การเล่นเกม หรือการออกกำลังกาย พร้อมตั้งเป้าหมายเป็น Challenge ที่น่าสนใจ เช่น หากสามารถงดหวานได้ 7 วัน ควรให้ของขวัญแก่ตนเองแทนการบริโภคขนม
4. เพิ่มโปรตีนในมื้ออาหาร เพื่อช่วยลดความอยากหวาน
การเพิ่มปริมาณโปรตีนในมื้ออาหารจะช่วยให้อิ่มนานขึ้น และลดความอยากของหวานลงได้
โปรตีนมีส่วนช่วยในการควบคุมฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอิ่ม เช่น GLP-1 และ PYY รวมถึงช่วยลดความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด
หมอเจษฎ์แนะนำให้เริ่มต้นมื้ออาหารด้วยโปรตีน เช่น เต้าหู้ อกไก่ ไข่ลวก หรือปลา และหากรู้สึกหิวในช่วงเย็น ควรเลือกของว่างที่มีโปรตีน เช่น ไข่ต้ม ซึ่งจะช่วยลดการโหยหาน้ำตาลได้อย่างชัดเจน
5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดความอยากน้ำตาลโดยอัตโนมัติ
"การนอนหลับไม่เพียงพอ" ส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานผิดปกติ:
- เกรลิน เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้รู้สึกหิวตลอดทั้งวัน
- เลปติน (Leptin) ลดต่ำลง ทำให้รู้สึกอิ่มยาก
สมองจะสั่งการให้ร่างกายค้นหาของหวานเพื่อชดเชยพลังงานที่ขาดไป
หมอเจษฎ์แนะนำให้นอนหลับอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และควรปิดหน้าจอก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้ร่างกายหลับลึก ฟื้นตัวได้ดีขึ้น และลดความอยากน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หมอเจษฎ์ทิ้งท้ายว่า การตัดความหวานไม่ใช่แค่เรื่องของรูปร่าง แต่ยังเป็นการป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันพอกตับ และโรคหัวใจ แม้การเลิกบริโภคหวานอาจไม่ใช่เรื่องง่ายในช่วงแรก แต่หากทำได้ ย่อมคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะคุณจะได้สุขภาพที่ดีคืนมาอย่างยั่งยืน การลดหวานจึงไม่ใช่แค่เรื่องของรูปร่างที่ดี แต่ยังหมายถึงสุขภาพที่ดีในระยะยาว สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นลดการติดหวาน ลองนำ 5 วิธีนี้ไปปรับใช้ แล้วร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนในเวลาไม่นาน













